ยังคงมีความสดใหม่ในการแสดงเสมอ! ประมวลภาพโชว์สุดเดือดจากสุดยอดวงร็อกตลอดกาล Guns N' Roses

เวลาได้เห็นตำนานศิลปินระดับโลกที่พลิกประวัติศาสตร์ดนตรีมาไลฟ์เพอร์ฟอร์มอยู่ตรงหน้าเราทีไรมันช่างขนลุก! เมื่อล่าสุดวง “กันส์ แอนด์ โรสเซส” (Guns N' Roses) #GNR คัมแบ็กสู่ประเทศไทยอีกครั้ง
กับ Guns N' Roses 2025 World Tour – Bangkok #GNRBKK2025 พร้อมธีมสุดเท่ Because What You Want & What You Get Are Two Completely Different Things จัดโดย เอเอ็มเอ มีเดีย (AMA Media) ร่วมกับ โฟร์ วัน วัน เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (Four One One Entertainment หรือ 411ent) ของ กึ้ง-เฉลิมชัย มหากิจศิริ โดยกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ 4 นับจากโชว์แรกที่อินชอน เกาหลีใต้, โยโกฮาม่า ญี่ปุ่น และ เถาหยวน ไต้หวัน
เมื่อวันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ชาวร็อกหลายพันชีวิตพร้อมใจกันสวมเสื้อวง Guns N' Roses มาชมโชว์ครั้งล่าสุด ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 3 ในไทยของวงดนตรีตัวอันตรายที่สุดในโลกวงนี้ หลายคนมาเช็กอิน ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี กันตั้งแต่ก่อนเที่ยงเพื่อต่อคิวซื้อเสื้อทัวร์และสินค้าออฟฟิเชียลที่ขายหมดอย่างรวดเร็ว พอถึงช่วงค่ำวง “กันส์ แอนด์ โรสเซส” (Guns N' Roses) ทั้ง 3 สมาชิกหลักคือ สแลช (Slash) มือกีตาร์, แอ็กเซิล โรส (Axl Rose) นักร้องนำ และ ดัฟฟ์ แมคเคแกน (Duff McKagan) มือเบส พร้อมด้วยสมาชิกวงแบ็กอัปผู้ร่วมเวิลด์ทัวร์ไม่ว่าจะเป็น ริชาร์ด ฟอร์ทัส (Richard Fortus) กีตาร์ริทึม, ดิซซี รีด (Dizzy Reed) คีย์บอร์ด, ไอแซก คาร์เพนเตอร์ (Isaac Carpenter) กลอง และ เมลิสสา รีส (Melissa Reese) คีย์บอร์ด/ซินธิไซเซอร์ ก็ร่วมกันเปิดเวทีด้วย Welcome To The Jungle เป็นเพลงแรก ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่ Guns N' Roses เล่นเพลงฮิตเพลงนี้เป็นเพลงแรกของโชว์
หลังจบเพลงแรก เสียง Cowbell ก็ดังขึ้นเป็นจังหวะสุดโจ๊ะ ซึ่งแฟนๆ ทราบกันดีว่านี่คืออินโทรของ Bad Obsession เพลงฮาร์ดร็อกสำเนียงบลูส์ ที่ถือเป็นซาวนด์เครื่องหมายการค้าของวงมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ต่อกันด้วยเพลง Mr. Brownstone ที่ สแลช โชว์ลีลาโซโลกีตาร์ให้แฟนๆ ได้รับชมกันแบบฉ่ำๆ ก่อนจะชะลอความมันกันเล็กน้อยด้วยเพลงซิมโฟนิกร็อกสุดอลังอย่าง Live And Let Die แค่ต้นทางก็บอกเลยว่าโปรดักชั่นบนเวทีไม่ว่าจะเป็นแสงสีเสียงล้วนทำถึง ตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะงานวิชวลกราฟิกบนฉากหลังนั้นสวยสดงดงามตลอดทั้งโชว์สมเป็น Guns N' Roses สไตล์
ขยับดีกรีเดือด Guns N' Roses ชวนให้แฟนๆ โยกศีรษะและร้องตามดังกระหึ่มฮอลล์ด้วยเพลงฮาร์ดร็อกสุดมันที่ยกมาเสิร์ฟกันเป็นเซ็ต รวดเดียว 6 เพลงติด Chinese Democracy, Coma, Perhaps, Double Talkin' Jive, It's So Easy และ Slither โดยในทัวร์ครั้งก่อนพวกเขาเล่นเพลงเซ็ตนี้แบบกระจายไปทั้งโชว์ แต่พอมัดรวมมาเล่นเป็นก้อนเดียวกันแบบนี้แล้วได้ฟีลไปอีกแบบ ส่วน Estranged ซึ่งเป็นเพลงพาวเวอร์บัลลาดที่เพราะมากๆ ก็เข้ามาช่วยผ่อนอารมณ์ให้กับชาวร็อกได้เข้าสู่โหมดโรแมนติกแบบที่ยังคงความต่อเนื่องในการรับชมอย่างไม่สะดุดเลย
เพลงที่ Guns N' Roses เลือกเล่นในช่วงกลางโชว์ไม่ว่าจะเป็น Better และ Sorry จากอัลบั้มชุด Chinese Democracy เพลง You Could Be Mine, Rocket Queen, Civil War และ New Rose ที่นำเพลงของวงพังก์รุ่นใหญ่ The Damned มาเล่น มีความหลากหลายของแนวเพลงไม่ว่าจะเป็น อินดัสเทรียล ร็อก, บลูส์ ร็อก ไปจนถึงพังก์ร็อกก็จริง แต่ด้วยความเก๋าของวงก็ทำให้ความแตกต่างหลากหลายนี้หลอมรวมเป็นฮาร์โมนีเดียวกันได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ในการแสดงสดอันช่ำชองของ Guns N' Roses ได้เป็นอย่างดี
หลังจากนำเพลง Knockin' On Heaven's Door ของ บ็อบ ดีแลน มาเล่นเป็นเพลงต่อมา ช่วงโค้งสุดท้ายของโชว์ Guns N' Roses ขนเพลงฮิตมาเล่นทิ้งทวน ไม่ว่าจะเป็นเพลงใหม่อย่าง Hard Skool และ Absurd ก่อนที่ สแลช จะโชว์ลีลาการโซโลกีตาร์สุดเร่าร้อนให้ชาวร็อกได้รับชมเป็นบุญตา ปูเข้าสู่ท่อนกีตาร์อินโทรของเพลงขึ้นหิ้ง Sweet Child O' Mine ที่เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆ ดังสนั่น โดย 3 เพลงสุดท้ายที่พวกเขาเลือกมาเล่นปิดโชว์ที่ประเทศไทยก็คือ November Rain, Nightrain และ Paradise City
ทั้ง แอ็กเซิล โรส, สแลช และ ดัฟฟ์ แมกคาแกน สามสมาชิกดั้งเดิมยังคงไว้ซึ่งความเป็นร็อกสตาร์ที่กาลเวลาทำอะไรพวกเขาไม่ได้เลย ซึ่งไม่ว่าจะเล่นคอนเสิร์ตที่ไหน เมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเคยดูโชว์ของศิลปินวงนี้มาแล้วกี่ครั้งก็ตาม “กันส์ แอนด์ โรสเซส” (Guns N' Roses) ก็ยังคงมีความสดใหม่ในการแสดงคอนเสิร์ตเสมอ ทั้งหมดนี้ทำให้แฟนๆ รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ในทุกครั้งที่ได้ดูโชว์ของสุดยอดวงร็อกตลอดกาลวงนี้จริงๆ ติดตามผลงานคอนเสิร์ตครั้งต่อไปได้ทางออฟฟิเชียลโซเชียลมีเดีย AMA Media และ @411ent
เครดิตภาพศิลปิน : Photo courtesy of Guns N' Roses